วิปัสสนากรรมฐานคืออะไร
วิปัสสนากรรมฐาน : เป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต
เพื่อจะปลดเปลื้องความทุกข์นานาประการ ออกเสียจากชีวิต
เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงว่าชีวิตมันคืออะไรกันแน่
ปกติเราปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามความเคยชินของมันเองปีแล้วปีเล่า
มันมีแต่ความมืดบอด
วิปัสสนากรรมฐาน : เป็นเรื่องของการตีปัญหาการซับซ้อนของชีวิต
เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงของชีวิต ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมา
วิปัสสนากรรมฐาน : เป็นการเริ่มต้นในการปลดเปลื้องตัวเราให้พ้นจากความเป็นทาสของความเคยชิน
ในตัวเรานั้น
เรามีของดีที่มีคุณค่าอยู่แล้ว คือ สติสัมปชัญญะ แต่เรานำออกมาใช้น้อยนัก
ทั้งที่เป็นของที่มีคุณค่าแก่ชีวิตหาประเมินมิได้ วิปัสสนาฯ เป็นการระดมเอา สติ
ทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเราเอาออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์
วิปัสสนากรรมฐาน : คือ การอัญเชิญ สติ ที่ถูกทอดทิ้ง
ขึ้นมานั่งบัลลังก์ของชีวิต เมื่อสติขึ้นมานั่งสู่บัลลังก์แล้ว
จิตก็จะคลานเข้ามามอบถวายบังคมอยู่เบื้องหน้าสติ สติจะควบคุมจิต
มิให้แส่ออกไปคบหาอารมณ์ต่าง ๆ ภายนอก ในที่สุดจิตก็จะค่อยคุ้นเคย
กับการสงบอยู่กับอารมณ์เดียว เมื่อจิตสงบตั้งมั่นดีแล้ว การรู้ตามความจริง
ก็เป็นผลติดตามมา เมื่อนั้นแหละเราก็จะทราบได้ว่าความทุกข์มันมาจากไหน
เราจะสกัดกั้นมันได้อย่างไร นั้นแหละคือผลงานของสติ
ภายหลังจากที่ได้ทุ่มเทสติสัมปชัญญะลงไปอย่างเต็มที่แล้ว
จิตใจของผู้ปฏิบัติ ก็จะได้สัมผัสกับสัจจะแห่งสภาวธรรมต่าง ๆ อันผู้ปฏิบัติไม่เคยเห็นอย่างซึ้งใจมาก่อน
ผลงานอันมีค่าล้ำเลิศของสติ สัมปชัญญะ จะทำให้เราเห็นอย่างชัดแจ้งว่า
ความทุกข์นานาประการนั้น มันไหลเข้ามาสู่ชีวิตของเราทางช่องทวาร 6 ทวาร 6
นั้นเป็นต่อและบ่อเกิดสิ่งเหล่านี้คือ ขันธ์ 5 จิตร กิเลส
ช่องทวาร 6 นี้
ทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า อายตนะ อายตนะมีภายใน 6 ภายนอก 6 ดังนี้ อายตนะภายในมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจ อายตนะภายนอกมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (กาย ถูกต้องสัมผัส) ธรรมารมณ์
(อารมณ์ที่เกิดจากใจ) รวม 12 อย่างนี้ มีหน้าที่ต่อกันเป็นคู่ ๆ คือ ตาคู่กับรูป
หูคู่กับเสียง จมูกคู่กับกลิ่น ลิ้นคู่กับรส กายคู่กับการสัมผัสถูกต้อง
ใจคู่กับอารมณ์ที่เกิดกับใจ
เมื่ออายตนะคู่ใดคู่หนึ่ง
ต่อถึงกันเข้า จิตก็จะเกิดขึ้น ณ ที่นั้นเอง และจะดับลงไป ณ ที่นั้นทันที
จึงจะเห็นได้ว่าจิตไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน การที่เราเห็นว่าจิตเป็นตัวเป็นตนนั้น
ก็เพราะว่าการเกิดดับของจิตรวดเร็วมาก การเกิดดับของจิตเป็นสันตติคือ
เกิดดับต่อเนื่องไม่ขาดสาย เราจึงไม่มีทางทราบได้ถึงความไม่มีตัวตนของจิต
ต่อเมื่อเราทำการกำหนด รูป นาม เป็นอารมณ์ตามระบบวิปัสสนากรรมฐาน ทำการสำรวมสติสัมปชัญญะอย่างมั่นคงจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว
เราจึงจะรู้เห็นการเกิด-ดับของจิต รวมทั้งสภาวธรรมต่าง ๆ ตามความเป็นจริง
การที่จิตเกิดทางอายตนะต่าง ๆ นั้น
มันเป็นการทำงานร่วมกันของขันธ์ 5 เช่น ตากกระทบรูป เจตสิกต่างๆ
ก็เกิดตามมาพร้อมกัน คือ เวทนาเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญา
จำได้ว่ารูปอะไร สังขาร ทำหน้าที่ปรุงแต่ง วิญญาณ รู้ว่ารูปนี้ ดี ไม่ดี หรือ เฉย
ๆ กิเลสต่าง ๆ ก็จะติดตามเข้ามาคือ ดีชอบเป็นโลภะ ไม่ดีไม่ชอบเป็นโทสะ เฉย ๆ
ขาดสติกำหนดเป็นโมหะ อันนี้เองจะบันดาลให้อกุศลต่าง ๆ เกิดขึ้นตามมา ความประพฤติชั่วร้ายต่าง
ๆ ก็จะเกิด ณ ตรงนี้เอง
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน :
โดยเอาสติเข้าไปเป็นที่ตั้งกำกับจิตตามช่องทวารทั้ง 6
เมื่อปฏิบัติได้ผลแก่กล้าแล้วก็จะเข้าตัดต่ออายตนะทั้ง 6 คู่นั้น
ไม่ให้ติดต่อกันได้โดยจะเห็นตามความเป็นจริงว่า
เมื่อตากระทบรูปก็จะเห็นว่าสักแต่ว่าเป็นแค่รูป ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน บุคคล เรา เขา
ไม่ทำให้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง ให้เกิดความพอใจหรือไม่พอใจเกิดขึ้น
รูปก็จะดับลงอยู่ ณ ตรงนั้นเอง ไม่ให้ไหลเข้ามาสู่ภายในจิตได้
อกุศลธรรมทั้งหลายก็จะไม่ตามเข้ามา
สติ
ที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น นอกจากจะคอยสกัดกั้นกิเลสไม่ให้เข้ามาทางอายตนะแล้ว
ยังเพ่งเล็งอยู่ที่รูปกับนาม เมื่อเพ่งอยู่ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปนามนั้น
จักนำไปสู่การเห็นพระไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์
ความไม่เป็นตัวตนของสังขาร หรืออัตภาพอย่างแจ่มแจ้ง
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น
จะมีผลมากหรือน้อยเพียงใด อยู่ที่หลักใหญ่ 3 ประการ
1.
อาตาปี ทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน
2.
สติมา มีสติ
3.
สัมปชาโนมีสัมปชัญญะ อยู่กับรูปนามตลอดเวลาเป็นหลักสำคัญ
นอกจากนั้นผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธา
ความเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้มีผลจริง
ความมีศรัทธานี้เปรียบดุจเมล็ดพืชที่สมบูรณ์พร้อมจะงอกงามได้ทันทีที่นำไปปลูก
ความเพียรประดุจน้ำที่พรมลงไปที่เมล็ดพืชนั้น
เมื่อเมล็ดพืชได้น้ำพรมลงไปก็จะงอกงามสมบูรณ์ขึ้นทันที เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติจะได้ผลมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ด้วย
การปฏิบัติ
ผู้ปฏิบัติต้องเปรียบเทียบดูจิตใจของเราในระหว่าง 2 วาระ ว่าก่อนที่ยังไม่ปฏิบัติ
และหลังการปฏิบัติแล้ว วิเคราะห์ตัวเองว่ามีความแตกต่างกันประการใด
หมายเหตุ เรื่องของวิปัสสนากรรมฐานที่เขียนขึ้นดังต่อไปนี้
จะยึดถือเป็นตำราไม่ได้ ผู้เขียนเขียนขึ้นเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติเท่านั้น
โดยพยายามเขียนให้ง่ายแก่การศึกษาและปฏิบัติมากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้เท่านั้นเอง
จากหนังสือคู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต
วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี โดย พ.ท. วิง รอยเฉย ปี 2529
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น